MEB คือ Startup ไทยรุ่นบุกเบิกอีกราย เพราะเริ่มต้นทำธุรกิจแพลตฟอร์มจำหน่าย E-Book มาตั้งแต่ปี 2554 แต่เมื่อเข้ามาอยู่ใต้ร่ม COL การจะขายแค่หนังสือดิจิทัลอย่างเดียวคงไม่ได้ และนั่นคือเหตุผลที่ MEB จะก้าวไปอีกขั้น
เบอร์หนึ่งในตลาด E-Book แบบเงียบๆ
เมื่อพูดถึงร้านขาย E-Book หลายคนอาจนึกถึง Ookbee เป็นชื่อแรกๆ เพราะด้วยการทำตลาด และปรากฎอยู่ในข่าวตลอดเวลา แต่จริงๆ แล้วผู้นำในตลาดนี้กลับเป็น MEB ที่มีหนังสือในระบบกว่า 57,000 เล่ม และมียอดขายรวม 267 ล้านบาทในปี 2559 ผ่านนักเขียนอิสระ และสำนักพิมพ์มากกว่า 6,000 รายที่ขายหนังสือบน MEB
รวิวร มะหะสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เมพ คอร์ปอเรช่ัน จำกัด เล่าให้ฟังว่า หลังบริษัทเข้ามาอยู่ในเครือ COL เมื่อปี 2557 ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป เพราะมีพาร์ทเนอร์เป็นร้านหนังสือขนาดใหญ่อย่าง B2S ทำให้การเจรจากับสำนักพิมพ์ต่างๆ ก็ง่ายขึ้น จนยอดขายรวมทุกสินค้าของบริษัทนั้นเติบโตเท่าตัวมาตลอด
“ตอนนี้เราเป็นเบอร์หนึ่งในเรื่องจำนวน E-Book และถึงปัจจุบันก็ขายไปกว่า 4.3 ล้านเล่ม ผ่านผู้ใช้บริการกว่า 1.5 ล้านคน และจะกลายเป็น 2 ล้านคนเร็วๆ นี้ ซึ่งอีกเรื่องที่ทำให้ MEB มาถึงจุดนี้ได้ก็คือ การเลือกขายหนังสือนิยาย และหนังสือที่มีเนื้อหาเชิงลึก ไม่ได้เน้นนิตยสารมากนัก เพราะมองว่า Content ดังกล่าวอ่านฟรีได้บนอินเทอร์เน็ต”
ก้าวใหม่สู่ศูนย์รวม Creative Content
สำหรับตลาด E-Book ปีนี้คาดว่ามีมูลค่าราว 600-700 ล้านบาท แต่เมื่อเทียบสัดส่วนกับตลาดหนังสือทั่วไปที่มีมูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท จะเป็นเพียง 6-7% เท่านั้น ทำให้ยังมีช่องเติบโตอีกมาก เพราะในสหรัฐอเมริกา และยุโรป มูลค่า E-Book ก็คิดเป็นกว่า 30% เมื่อเทียบกับมูลค่าตลาดหนังสือ
ส่วนทาง MEB ปีนี้ตั้งเป้ายอดขายรวมที่ราว 400 ล้านบาท ครองเบอร์หนึ่งของตลาดนี้เช่นเดิม แต่การหยุดอยู่แค่ E-Book คงไม่พอ เพราะทางบริษัทเตรียมก้าวสู่ผู้ให้บริการ Creative Content ผ่านการควบรวมกิจการ Hytexts ผู้ผลิต และจำหน่ายเครื่อง E-Reader กับสร้างเว็บไซต์ pixipe.com ที่เปิดพื้นที่ให้ Creator ต่างๆ มาขายสินค้า
IPO ที่ตลาดหลักทรัพย์ MAI ใน 3 ปี
จากการเลือกแนวทางเติบโตอย่างยั่งยืน ต่างจาก Stratup รายอื่นที่เน้นเรื่อง Transaction ทำให้ MEB เตรียมเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ MAI ภายใน 3 ปีข้างหน้า เพราะด้วยความพร้อมเรื่องรายได้ และโครงสร้างองค์กร โดยเหลือเพียงเพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 5 ล้านบาทในปัจจุบัน ให้เป็นไปตามเกณฑ์ตลาดหลักทรัพย์ และสร้างรายได้แตะ 1,000 ล้านบาทก่อน
สรุป
MEB ถือเป็นตัวอย่างที่ดีของ Startup ที่เน้นการเติบโตอย่างยั่งยืน อาจโชคดีซักหน่อยที่การเข้าซื้อของกลุ่ม COL ก็เทียบได้กับการ Exit กลายๆ แต่ถ้าแค่ Exit เฉยๆ แล้วไม่มีการทำธุรกิจต่อก็คงไม่ใช่ เพราะ MEB ถือเป็นหนึ่งในขา 4 ธุรกิจของกลุ่ม COL และคาดว่าจะมีรายได้เป็น 10% ของทั้งกลุ่มได้ภายใน 3 ปี เพราะปัจจุบันคิดเป็นเพียงไม่พี่เปอร์เซ็นต์จากกลุ่ม COL ที่ปีนี้จะปิด 12,000 ล้านบาท